เรียนวิธี ” เริ่มต้นธุรกิจ ” จากประสบการณ์การทำธุรกิจออนไลน์ของนักรบ ที่เหมาะกับธุรกิจ SME ออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นสินค้า (Products), หน้าร้านออนไลน์ (Website หรือ Fanpage) และ การตลาดออนไลน์ (Online Marketing) อีกทั้งยังแทรกเทคนิคที่สำคัญที่ช่วยให้ทำธุรกิจออนไลน์ได้ผลยิ่งขึ้น สู้กับคู่แข่งที่มีกำลังเงินและคนมากกว่าได้
อยากทําธุรกิจส่วนตัว ทําธุรกิจอะไรดี ?
เมื่อทำธุรกิจส่วนตัวแล้วมั่นคงสักระยะนึง ผลตอบแทนจะสูงกว่าการเป็นมนุษย์เงินเดือน นั้นก็เพราะรายได้เกิดจากกลุ่มลูกค้าหลายทางหลายพื้นที่ ซึ่งมากกว่าการเป็นมนุษย์เงินเดือนที่รับรายได้เพียง 1 ทางเท่านั้น การทำธุรกิจ SME ออนไลน์อาศัยทักษะหลายด้าน เช่น การค้าหาสินค้าที่ขายได้, การต่อรองราคา, การค้นหาช่องทางการขายและการโฆษณา ซึ่งสิ่งๆต่างๆเหล่านี้เปลี่ยนแปลงเร็ว และไม่ค่อยแน่นอน ทำให้คนทำธุรกิจตัวเอง ต้องปรับตัวเร็วและตื่นตัวมากกว่าการทำงานประจำ ส่งผลให้คนที่ ” อยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ” ต้องขยัน อดทน พัฒนา และมีวิสัยทัศน์ในการทำธุรกิจพอตัวทีเดียว การค้นหา ” ธุรกิจที่เหมาะกับตัวเอง ” จะเริ่มต้นด้วยสิ่งที่ตัวเองถนัด และรู้ดีที่สุด จะเป็นการเริ่มต้นที่ดีที่สุด หลังจากนั้นจึงต่อยอดไปสู่สิ่งที่รักและธุกิจตัวเองที่อยากสร้าง โดยต้องพัฒนาทักษะและความสามารถควบคู่กันไปด้วย ในช่วงเริ่มต้นทำธุรกิจออนไลน์ของตัวเองควรใช้จุดเด่นของตัวเอง ช่วยให้ได้เปรียบคู่แข่ง และสามารถใช้จุดนี้ในการทำการตลาด โปรโมทเพิ่มเติมได้อีกด้วย
เริ่มต้นธุรกิจ ต้องมี 3 สิ่ง
- สินค้า : ต้นทุนราคาต้องเท่า หรือถูกกว่าคู่แข่ง
- หน้าร้านออนไลน์ เช่น เว็บไซต์ , Facebook Fanpage
- การตลาดออนไลน์
- Google (เรียนการทำ SEO & เรียนลงโฆษณา Google Ads)
- Social Media เช่น Facebook (Organic Reach, Ads), YouTube
และทักษะอื่นๆ ที่จำเป็น เช่น การทำภาพประกอบให้สวย, การเขียนเนื้อหา, การสร้างวีดีโอ และการพูดคุยกับผู้ที่สนใจ
การเริ่มต้นธุรกิจธุรกิจส่วนตัว
ในโลกของชีวิตจริง การเริ่มต้นธุรกิจธุรกิจส่วนตัว ทำได้ง่ายมากขึ้น ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็มีแต่คนที่สนใจจะทำธุรกิจส่วนตัว เด็กรุ่นใหม่หลายคนก็ตั้งมั่นแน่วแน่ว่าจะทำธุรกิจส่วนตัวทันทีที่เรียนจบ นั้นก็เพราะยุคนี้ การรวยเร็ว ไว และประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย จะช่วยให้มีเวลาที่เหลือใช้ชีวิตได้ตามที่ใจต้องการ การเริ่มต้นธุรกิจที่ดี ควรคำนึงถึงความสามารถ และ Connection เป็นหลักเพราะทั้ง 2 สิ่งนี้เป็นส่วนประกอบของโอกาสที่เป็นต้นทุนดีกว่าคนอื่น ช่วยเปิดทางและบอกเราว่าควรเริ่มต้นทำธุรกิจอะไรก่อนดี ด้วยความสามารถและ Connection ต่างๆ จะเป็นวัตถุดิบชั้นดี ในการค้นหาธุรกิจทีต้องการเริ่มต้นทำก่อนเป็นอันดับแรก และเมื่อค้นหาเจอแล้วต้องทุ่มเทกับให้สุดชีวิตครับ เพื่อนำประสบการณ์มาสร้างธุรกิจเดิมหรือธุรกิจอื่นๆได้ดียิ่งขึ้นต่อไป
วิธีสร้าง Connection ที่ดีที่สุด คือการสร้างผลงานและเผยแพร่ในโลกออนไลน์ให้บ่อยและเยอะมากที่สุด จนเกิดการยอมรับในความสามารถ แล้ว Connection จะตามมาที่หลัง ― นักรบ
การเริ่มต้นทําธุรกิจ เริ่มต้นอย่างไร
การเริ่มต้นทําธุรกิจ สำหรับธุรกิจ SME ออนไลน์ ที่มีกำลังเงินน้อย ควรพุ่งประเด็นไปที่การพัฒนาตัวเองก่อนในทักษะดิจิตอล พร้อมๆกับทำการตลาดออนไลน์ใน Social Media หรือ Website ของธุรกิจตนเอง
6 ทักษะดิจิตอลสำหรับธุรกิจ SME ออนไลน์
- ทักษะการถ่ายภาพดิจิตอล : เป็นพื้นฐานสำคัญในการนำเสนอและใช้ประกอบกับทักษะอื่นๆ
- ทักษะการเขียน Engagement Content เช่น เขียนให้คนอ่านได้ประโยชน์ในสิ่งที่เกี่ยวกับธุรกิจของเรา และเกิดคนแชร์ใน Facebook
- ทักษะการเขียน SEO Content เช่น การเขียนบทความ (Articles) ที่สอดคล้องกับ Google Search เร่งการติดอันดับช่วยเพิ่มคนเข้าเว็บ
- ทักษะการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้สวย เช่น ออกแบบ logo, ออกแบบ Packaging
- ทักษะทำการตลาดให้เข้าใจง่าย และ ใช้เทคโนโลยีเข้าช่วยเช่น Facebook Ads และ Google AdWord
- ทักษะการปิดการขายด้วย Line, Facebook Inbox และ Email
Tip: แนะนำแหล่งรูปประกอบสวยๆ
- pixabay ใช้ฟรีเพื่อการค้าได้
- freepik.com ต้องให้ Credit หรือ No Credit ราคา 9.99$/เดือน
- 123rf ขั้นต่ำ 1$ ราคาไม่แพง
- หรือถ่ายรูปสินค้าเอง
3 สิ่งที่ควรพัฒนาเพื่อทําธุรกิจ SME ออนไลน์
ทําธุรกิจเล็กๆมีข้อดีที่ธุรกิจขนาดใหญ่ไม่มี คือการตัดสินใจและลงมือทำอย่างรวดเร็ว นั้นคือ “ปลาเร็วกินปลาช้านั้นเอง”
- “กฎ 3 วิ ลงมือทำให้เร็วกว่าความคิด” (เทคนิคส่วนของนักรบ) เริ่มต้นธุรกิจ ใช้เงินให้น้อย ล้มแล้วลุกใหม่
- ช่วง “เริ่มต้นธุรกิจ” ต้องเรียนรู้จากความผิดพลาดในเรื่อง สินค้า, ช่องทางการขาย และการตลาด ให้ได้มากที่สุด เพื่อแก้ไขได้ทันทีทันควัน
- บริหารเวลา Focus ธุรกิจช่วง”เริ่มต้นธุรกิจ” ให้มาก เพิ่มประสิทธิภาพให้สูงกว่าคู่แข่ง
ทั้ง 3ข้อที่กล่าวมานั้น จะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ ถ้ามีความสุขและรักที่ได้ทำธุรกิจ เวลาที่เหลือของชีวิตจะใช้ได้อย่างคุ้มค่า และพาไปสู่ความสำเร็จ ― โดย นักรบ
กฎ 3 วิ ลงมือทำให้เร็วกว่าความคิด ใช้เงินให้น้อย ล้มแล้วลุกใหม่ (เทคนิคส่วนของของนักรบ)
คนทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จต้องทำมาก ล้มมาก และลุกขึ้นมาใหม่ได้นับสิบครั้ง กว่าจะพบธุรกิจส่วนตัวทีทำแล้วประสบความสำเร็จ นั้นก็เพราะเราต้องหล่อหลอมความคิด ขยายกรอบวิสัยทัศน์ให้กว้างไกล และเรียนรู้กระบวนการในการทำธุรกิจที่ได้ผลไปพร้อมๆกัน หากเราลงมือทำธุรกิจน้อยเกินไป เราจะเรียนรู้ได้ไม่มากพอ และไม่เห็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ ทั้งในเรื่อง สินค้า, ช่องทางการขาย และการตลาด ซึ่ง 3 สิ่งเหล่านี้ต้องศึกษาด้วยตัวเอง ไม่มีสอนในมหาลัยมากนัก ถึงมีสอนก็เป็นความรู้เก่า ตัวเรายังต้องไปลุยในสนามจริงเพื่อสัมผัสสถานการณ์ใหม่ๆให้ทันยุคในสมัยนี้ การลงมือทำให้เร็วกว่าความคิด และไม่ควรคิดเกิน 3 วินาที เป็นแนวคิดที่ได้ผลจริง เพราะ หลังจากผ่านไป 3 วินาทีกระบวนการคิดของลูกจ้างประจำที่สั่งสมมาในอดีต จะบอกเหตุผลให้เรา และหยุดให้เราไม่ทำธุรกิจส่วนตัว หรือสานต่อธุรกิจส่วนตัวซะที นั้นก็เพราะ ความสบายในงานประจำของเรานั้นเอง
การลงมือทำเร็ว หมายถึงการสร้างผลงานและพัฒนาตัวเองได้เร็ว อย่าใช้เงินลงทุนมากเกินไป เพราะธุรกิจมันต้องเรียนรู้จากการล้มเหลวด้วย ถ้าใช้เงินเยอะในช่วงแรก จะลุกขึ้นมาใหม่ยาก ― โดย นักรบ
การลงมือทำให้เร็วกว่าความคิดแบบลูกจ้าง จะช่วยทำให้เราได้ผลงาน ไม่ว่าจะล้มเหลวหรือประสบความสำเร็จๆ แม้จะเป็นงานเล็กๆ เราก็จะได้ความรู้ (Know-how) ในขั้นตอนดังกล่าว เพื่อนำมาใช้ในวันข้างหน้า เพราะการทำธุรกิจส่วนตัวให้ประสบความสำเร็จ คือการค้นพบวิธีการย่อยๆหลายวิธีการมาประกอบกันเป็นธุรกิจ ตัวอย่างวิธีย่อยๆในการทำธุรกิจ
- วิธี การค้นหาสินค้าให้ขายได้
- วิธี การลดต้นทุนราคา และเพิ่มประสิทธิภาพสินค้า
- วิธี การเผยแพร่สินค้าผ่านช่องทางการขาย
- วิธี การจัดเรียงสินค้าให้หลากหลาย ใช้ง่าย และสะดุดตา
- วิธี การทำภาพประกอบสินค้าให้สวยน่าซื้อ น่าคลิ๊กชม
- วิธี การทำการตลาดผ่าน SEO และ Facebook Ads
Tip : หลังจากลงมือทำมามาก เราจะคิดอย่างถูกต้องมากขึ้น และมีเวลากับตัวเอง ไม่ต้องเร่งรีบเหมือนช่วงแรกของการทำธุรกิจครับ (จากประสบการณ์ส่วนตัว)
เรียนรู้จากความผิดพลาดในเรื่อง สินค้า, ช่องทางการขาย, การตลาด
เราจะเรียนรู้เรื่องสินค้าได้อย่างไร ? หากต้องการเรียนรู้เรื่องสินค้าว่ามันทำเงิน มันขายได้หรือปล่าว ให้เลือกสินค้าที่จะขายมา 1 ตัว แล้วหัดตั้งราคาด้วยตัวเองจากการ Research ตามท้องตลาด หรือหากเป็นสินค้าที่ไม่ซ้ำใครก็สามารถตั้งราคาได้เองตามความพอใจ หลังจากมีสินค้าและตั้งราคาเรียบร้อยแล้ว จะเหลือช่องทางการขาย และการตลาดที่ต้องทำต่อ ช่องทางการขาย : ให้เลือกระบบที่ใช้ง่ายไม่ซับซ้อน แต่มีประสิทธิภาพที่สุด ณ ปัจจุบันคือ Facebook Fanpage การตลาด : ให้เลือกระบบที่ใช้งาน ไม่ซับซ้อน แต่มีประสิทธิภาพมาก ณ ปัจจุบันคือ Facebook Ads & Organic หัวใจของการทดสอบสินค้านี้คือ พุ่งประเด็นไปที่ตัวสินค้าและราคา ว่ามีคนต้องการมากน้อยแค่ไหน ? โดยอย่าเสียเวลากับช่องทางการขายและการทำการตลาดมากนักตัวอย่างวิธีการทดสอบสินค้า ใช้เวลา 1 เดือน งบประมาณโฆษณา 3,000 บาท ไม่รวมค่าสินค้า
- เตรียมภาพสินค้า ราคา และแสดงประโยชน์ใช้งานในรูปแบบที่เหมาะสม เช่น ภาพ,ข้อความ หรือ วีดีโอ
- วางแผนโพสสินค้าลง Facebook Fanpage ให้ได้เกือบทุกวัน
- ทำโฆษณาแฟนเพจ 100 บาท/วัน โดยเจาะกลุ่มเป้าหมายให้ถูกต้อง (วิธีการทำโฆษณาอ่านได้จาก Help)
วัดผลและดู Feedback จากลูกค้าว่าสนใจในตัวสินค้ามากน้อยแค่ไหน ? ทั้งราคาต้นทุน, ราคาขาย, ความต้องการสินค้า, ความน่าเชื่อถือ, ภาพสวยสะดุดตา, ความสะดวก และความนิยมในท้องตลาด อื่นๆ หากสินค้าไม่เวิร์ค ให้เปลี่ยนสินค้าและเรียนรู้เกี่ยวกับสินค้าต่อไป จนกว่าจะมีวิสัยทัศน์เพียงพอในการเลือกสินค้าที่จะขาย
Tips : เกร็ดความรู้จากนักรบ
Q : เราจะเรียนรู้เรื่อง ช่องทางการขายและการตลาดได้อย่างไร ? A : วิธีที่ดีสุดวิธีหนึงในการเรียนรู้ ช่องทางการขายและการตลาด โดยไม่ต้องยุ่งเรื่องสินค้ามากนัก คือ การทำธุรกิจแบบ Drop Ship
สินค้า (Products)
ต้องซื้อสินค้าในราคาที่ถูกกว่าคู่แข่ง หรืออย่างน้อยๆ ต้องได้ราคาเท่ากัน เพราะถ้าคู่แข่งเล่นเกมตัดราคา คุณก็สามารถลดราคาหรือจัดโปรโมชั่นบ้างได้โดยยังไม่ขาดทุน และไปสู้ในช่องทางการขาย และการโปรโมทแทน คนที่มีต้นทุนราคาสินค้าได้ถูกกว่า มีปัจจัยกว้างๆดังนี้
- ใช้ระบบทุน ซื้อสินค้าที่ละเยอะๆจะได้ราคา/ชิ้นถูกมาก นี้เป็นวิธีของธุรกิจมีกำลังเงินเล่นกัน
- รู้จักคนผลิต มีเส้นมีสาย หรือใกล้แหล่งผลิตขอต่อรองราคาได้ดี (ต้องใช้ Connection)
- ผลิตสินค้าเอง และมีความคิดสร้างสรรค์ เช่น งาน Handmade, สินค้าที่ใส่ความคิดสร้างสรรค์ลงไป
การตลาดออนไลน์ (Online Marketing)
ช่องทางการตลาดออนไลน์ นักรบขอแยกเป็น 2 ทาง
- ทำการตลาดบน Social Media เช่น Facebook : โดยการตลาดทางนี้จะขับเคลื่อนด้วยการมีส่วนร่วมในเนื้อหา (Content engagement) โดย Content ที่มี Engagement มากที่สุดคือ Video และ Story Image(การเล่าเรื่องด้วยภาพและข้อความบนภาพ)
- ทำการตลาดบน Google เช่น การทำ AdWords & SEO เพื่อเพิ่มยอดคนเข้าชมเว็บไซต์ด้วยคำค้นหา (Keyword)
แนะนำกลยุทธ์ที่เน้นเนื้อหา(Content) ใน Facebook & Website
- ทำการตลาดเร่งด่วน จะใช้ Google AdWords & Facebook Ads
- ทำการตลาดระยะยาว ให้เน้น Engagement Content ใน Facebook และ SEO Content ใน Website
Tip
ธุรกิจ SME ให้โฟกัสที่การทำการตลาดผ่าน Engagement Content ใน Facebook และ SEO Content ใน Website เป็นสำคัญ และทำสม่ำเสมอเป็นกลยุทธ์หลักสร้างแบรนด์ ไม่ควรใช้ Adwords และ Facebook Ads ในการทุ่มเงินโฆษณาเพียงอย่างเดียว เพราะอาจแพ้ให้คู่แข่งที่มีกำลังเงิน และกำลังคนมากกว่าได้