10 เทคนิคเลือกบริษัทรับทำ SEO ให้อันดับเว็บไซต์เข้าหน้าแรก Google ยอดขายพุ่ง !

เทคนิคเลือกบริษัทรับทำ SEO

สำหรับนักการตลาดหรือเจ้าของธุรกิจท่านใดที่กำลังหาวิธีหาวิธีเพิ่ม Traffic ให้กับเว็บไซต์รวมไปถึงการเพิ่มยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์ เชื่อว่า การทำ SEO (Search Engine Optimization) จะต้องเป็นเทคนิคที่พวกคุณกำลังคิดถึงอยู่แน่นอน 

เพราะการทำ SEO ที่มีประสิทธิภาพนั้นจะช่วยให้เว็บไซต์ธุรกิจของคุณพุ่งทะยานขึ้นไปติดบนหน้าแรกของการค้นหาบน Search Engine เช่น Google, Yahoo ช่วยทำให้ธุรกิจของคุณถูกพบเจอและเป็นที่รู้จักจากลูกค้าได้มากขึ้น เมื่อมีการค้นหาใน Keyword ที่เกี่ยวข้อง 

แต่การทำ SEO ที่ได้ผลลัพธ์เช่นนั้นก็ใช่ว่าใครจะทำก็ทำได้เลย หากแต่ต้องอาศัยความรู้และประสบการณ์ จึงทำให้นักการตลาดหลายคนหันมาพึ่งพาบริษัทรับทำ SEO มากขึ้นเพราะได้ผลลัพธ์ที่เร็วทันใจ ไม่ต้องเสียเวลามาศึกษาเอง ช่วยให้การทำ SEO ของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งในบทความนี้เราได้รวบรวม 10 เทคนิคเลือกบริษัทรับทำ SEO ให้อันดับเว็บไซต์เข้าหน้าแรก Google ยอดขายพุ่ง ที่จะช่วยทำให้คุณเลือกบริษัทรับทำ SEO ที่ดีและเหมาะกับธุรกิจของคุณที่สุดมาฝากกัน จะมีอะไรบ้าง ไปติดตามกันครับ

ความสำคัญของ seo
ความสำคัญของ seo

1. ความสำคัญของการทำ SEO

อันดับแรกคุณต้องรู้ถึงความสำคัญของการทำ SEO ก่อนว่าทำไมเราใช้เทคนิคในการทำการตลาดออนไลน์หรือสร้างยอดขายให้กับธุรกิจ ?

ต้องบอกว่าการทำ SEO นั้นมีความสำคัญกับธุรกิจมากครับ ผู้ที่ต้องการจ้างควรศึกษาให้ดีก่อนว่า SEO คืออะไร เพราะการทำ SEO อย่างถูกต้องนั้นจะสามารถช่วยเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ (Organic Traffic) ของเราให้มากขึ้นได้ เนื่องจากเว็บไซต์ของเราจะขึ้นไปติดอันดับต้น ๆ ของหน้าการค้นหา (SERP) เมื่อมีลูกค้าค้นหาคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจคุณ ดังนั้นเมื่อมีลูกค้าเข้ามายังเว็บไซต์ของเรามากเท่าไร ธุรกิจของเราก็จะมีโอกาสได้ขายสินค้าให้กับลูกค้ามากขึ้นเท่านั้น

เปรียบง่าย ๆ ก็เหมือนกับการที่เราไปเช่าพื้นที่ตลาดเพื่อขายของแหละครับ หากร้านของคุณได้อยู่ในส่วนที่มีผู้คนพลุกพล่าน เดินผ่านไปผ่านมาให้ความสนใจอยู่ตลอด โอกาสที่คุณจะขายของได้ก็เยอะตาม ผิดกับร้านที่อาจจะอยู่โซนท้าย ๆ ของตลาด ไม่ได้เป็นจุดสนใจ ก็อาจจะได้ลูกค้าในแต่ละวันน้อยกว่าร้านกลุ่มแรก 

จึงไม่แปลกใจเลยครับที่ในปัจจุบันเทคนิคการทำการตลาดออนไลน์ ที่ได้ประสิทธิภาพและเป็นที่ยอมรับมากที่สุดก็คือการทำ SEO นี่แหละ โดยเฉพาะธุรกิจที่มีเว็บไซต์หรือต้องการใช้เว็บไซต์ในการหาลูกค้าใหม่, ขายสินค้ายิ่งต้องให้ความสำคัญกับการทำ SEO มาก ๆ เลยครับเพราะหากเว็บไซต์ของคุณมีการทำ SEO ที่ดีแล้ว บอกเลยว่าอาจทำให้ธุรกิจของคุณสร้างยอดขายมากขึ้นได้ภายในระยะเวลาไม่นาน

อ่านเพิ่มเติม : วิธีการทำงานของ Google Search

2. วิธีเลือกบริษัทรับทำ SEO ควรพิจารณาจากปัจจัยใดบ้าง ?

สำหรับใครที่กำลังมองหาบริษัทรับทำ SEO แต่ยังไม่รู้ว่าในการเลือกบริษัทรับทำ SEO ที่ได้ประสิทธิภาพ ปลอดภัย และเหมาะสมกับธุรกิจของเรานั้นต้องพิจารณาจากหลักเกณฑ์อะไรบ้าง เราได้รวบรวมหลักเกณฑ์ต่าง ๆ มาให้คุณแล้ว ดังนี้

เลือกบริษัทรับทำ SEO ที่มีความเข้าใจการทำ SEO ที่ถูกต้อง

มีนักการตลาดหรือเจ้าของธุรกิจหลายคนที่กำลังมองหาบริษัทรับทำ SEO โดยไม่ได้มีการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการทำ SEO ที่ถูกต้องมาก่อน พอบริษัทรับทำ SEO เหล่านั้นอธิบายเทคนิคการไต่อันดับ Google แบบรวดเร็ว จนทำให้คุณหลงเชื่อและยอมเป็นลูกค้าบริษัทเหล่านั้น  แต่ความจริงแล้ว เทคนิคที่บริษัทรับทำ SEO พูดถึง มันคือเทคนิคในการโกงอันดับของ Google หรือเทคนิคสายดำ ซึ่งนั้นไม่ใช่วิธีที่การทำ SEO ถูกต้องและปลอดภัยต่อธุรกิจคุณเลย

ดังนั้น ก่อนเริ่มต้นทำ SEO ผู้ที่ต้องการจ้างบริษัทรับทำ SEO ควรศึกษาถึง เทคนิคการทำ SEO ที่ถูกต้องหรือเทคนิคสายขาว (White Hat) รวมถึงศึกษาเทรนด์การทำ SEO ในปัจจุบันก่อน ว่าขั้นตอนพื้นฐานเป็นอย่างไร, แล้วทำแบบไหนถึงผิดหลักการของ Google เพื่อให้เข้าใจภาพรวมของการทำ SEO เวลาที่บริษัทเริ่มทำ SEO คุณจะได้รู้รายละเอียดของแต่ละขั้นตอน

วิเคราะห์จากผลลัพธ์จากการทำ SEO

บริษัทรับทำ SEO ที่ดีนั้น ควรจะมีผลลัพธ์จากการทำเป็น Report ที่ช่วยให้เว็บไซต์ของลูกค้าเติบโตได้ 

เช่น ผลลัพธ์จากการช่วยดันอันดับเว็บไซต์ในคีย์เวิร์ดที่มีการแข่งขัน มี Search Volume สูง มีการแข่งขันในตลาดที่นักทำ SEO ส่วนใหญ่ทำกัน

Rank Tracker วัดผลการดันอันดับคีเย์เวิร์ด seo
Rank Tracker วัดผลการดันอันดับคีเย์เวิร์ด seo

ตัวอย่างผลงานการทำ SEO ที่แสดงอันดับของคีย์เวิร์ดเป้าหมาย

แต่ถ้าหากบริษัทรับทำ SEO เจ้าไหนที่ไม่มีข้อมูลหรือผลลัพธ์มายืนยันให้คุณ หรือพวกเขาเลือกใช้เป็นคีย์เวิร์ดที่ไม่มีการแข่งขัน ไม่มีการค้นหา ก็จะถือว่าไม่ใช่บริษัทรับทำ SEO ที่สร้างผลลัพธ์ให้กับธุรกิจคุณได้

เลือกบริษัทรับทำ SEO ที่ให้ความสำคัญกับการสร้างยอดขายให้ธุรกิจ

การที่เว็บไซต์ติดอันดับต้น ๆ ของหน้าแสดงการค้นหาถือเป็นเรื่องที่การทำ SEO จะเข้าไปช่วยธุรกิจคุณได้ แต่มันไม่ได้หมายความว่า นี่คือทุกอย่างของการทำ SEO เพราะเป้าหมายหลักจริง ๆ ของการทำ SEO นอกจากจะต้องดันให้เว็บไซต์ไปติดหน้าแรกของ Google ได้แล้ว ยังต้องสามารถสร้างเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ (Traffic) จนเปลี่ยนเป็นลูกค้าที่สามารถสร้างยอดขาย (Conversion Rate) ให้กับธุรกิจได้ 

ดังนั้นการเลือกบริษัทรับทำ SEO ที่ดีนั้น คุณไม่ควรเชื่อแต่บริษัทที่เอาแต่พูดเรื่องการทำอันดับบน Google เพียงอย่างเดียว (แม้จะทำอันดับด้วยเทคนิคที่ถูก) แต่คุณต้องมองหาบริษัทรับทำ SEO ที่ให้ความสำคัญในเรื่องของการเพิ่ม Traffic , สร้างยอดขายให้กับธุรกิจคุณควบคู่กันไปด้วยเสมอ และที่สำคัญต้องมี Report ยืนยันผลงานให้เราทุกสัปดาห์/เดือนด้วย

เลือกบริษัทรับทำ SEO ที่มีราคาสมเหตุสมผล

ในการเลือกบริษัทรับทำ SEO นั้นเรื่องของราคาก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน คุณควรพิจารณาเลือกบริษัทรับทำ SEO ที่มีราคาสมเหตุสมผล หรือราคาเหมาะสมกับผลลัพธ์ที่คุณได้ ซึ่งโดยปกติแล้วราคาในการทำจะอยู่ประมาณ 20,000 – 30,000 บาทในกรณีทั่วไป แต่ถ้าโปรเจ็กต์ขนาดใหญ่ขึ้นมาหน่อยก็อาจอยู่ที่ราว 50,000 – 100,000 หรือสูงขึ้นไปอีก ขึ้นอยู่กับขอบเขตของงาน (เพราะการทำ SEP ก็มีต้นทุนหลายด้าน)

แต่ในกรณีถ้าคุณเจอบริษัทรับทำ SEO ที่ประเมินราคาในการทำ SEO ที่ “ถูกกว่า” บริษัทอื่น ๆ ในท้องตลาดก็อาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีเท่าไร เพราะอาจไม่มีอะไรที่มาการันตีผลลัพธ์ได้หรือมีความเป็นไปได้ว่าคุณอาจจะกำลังถูกหลอกลวงอยู่ ดังนั้นคุณควรเลือกบริษัทรับทำ SEO ที่ราคากับผลลัพธ์เป็นไปในทางเดียวกัน ถึงแม้ราคาจะสูง แต่ถ้าพวกเขามีผลงานความสำเร็จที่เคยทำมาหรืออธิบายเทคนิคการทำละเอียดแบบรู้จริง ก็สมควรที่คุณจะเลือกใช้งานบริษัทรับทำ SEO เหล่านั้น

มีสัญญาในการร่วมงาน

สิ่งสำคัญที่บริษัทรับทำ SEO “ที่ดี” นั้นจะต้องมีคือ สัญญาจ้างที่เป็นลายลักษณ์อักษร โดยในสัญญานั้นต้องระบุข้อตกลงในการทำงาน รายละเอียดของงานที่จะต้องส่งมอบให้ชัดเจน แม้จะดูเป็นเรื่องเล็ก ๆ แต่ก็เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าบริษัทรับทำ SEO เจ้าไหนเชื่อถือได้ เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาใหญ่เช่น โดนโกง ทิ้งงาน ตามมาภายหลังครับ

3. การเตรียมตัวก่อนเริ่มต้นทำ SEO

หากคุณคือมือใหม่สุด ๆ ในการทำ SEO ผมคงต้องบอกว่าขั้นตอนการเริ่มต้นทำ SEO นั้นไม่ใช่ว่าอยากจะทำก็ทำกันได้เลย แต่ธุรกิจต้องมีทรัพยากรหรือสิ่งที่ต้องมีสำหรับการทำ SEO อันดับแรกคือต้องมีเว็บไซต์ธุรกิจเป็นของตัวเอง หรือถ้าใครที่ยังไม่มีก็ควรเลือกประเภทของเว็บไซต์ให้เหมาะสมกับธุรกิจก่อนเช่น E-Commerce Website, Business Information Website, Personal Website หรืออื่น ๆ โดย 2 ตัวแรกจะเหมาะกับการสร้างยอดขายให้ธุรกิจที่สุด

CMS WordPress
CMS WordPress

ตัวอย่างหลังบ้านเว็บไซต์ที่สร้างด้วยระบบ CMS (Custom Management System) ของค่าย WordPress.com

และเมื่อมีเว็บไซต์แล้วก็ต้องมีการจดชื่อโดเมนหรืออธิบายง่าย ๆ ก็คือชื่อของเว็บไซต์คุณนั่นแหละ โดยในการจดชื่อโดเมนนั้น ก็ถือว่ามีส่วนสำคัญต่อการทำ SEO นะครับ เพราะเป็นการทำให้ผู้ค้นหารู้ว่าเว็บไซต์คุณเกี่ยวข้องกับอะไรแบบคร่าว ๆ เช่น www.seonewsthai.com ก็พอจะเดาได้ว่าเป็นเว็บไซต์ข่าวสาร SEO ของไทย เป็นต้น แนะนำว่าควรจดชื่อโดเมนให้ง่ายต่อการสะกดและค้นหา จะดีที่สุดครับ

จดทะเบียนโดเมน hosting โดยใช้บริการของ hostatom
จดทะเบียนโดเมน hosting โดยใช้บริการของ hostatom

ตัวอย่างการตั้งชื่อโดเมนบนเว็บไซต์ hostatom.com

ขั้นตอนต่อมาเตรียมเนื้อหาหรือคอนเทนต์ที่จะถูกใส่ลงไปในเว็บไซต์ด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของบทความและรูปภาพต่าง ๆ (ถือเป็นส่วนสำคัญในการทำ SEO) และเมื่อคุณเตรียมเนื้อหาต่าง ๆ เข้าไปในเว็บไซต์จนเสร็จสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว ก็เท่ากับธุรกิจคุณพร้อมแล้วที่จะเข้าสู่การทำ SEO อย่างเต็มรูปแบบ

อ่านเพิ่มเติม : วิธีการสร้างเว็บไซต์ด้วย WordPress

ขั้นตอนการทำ seo

4. ขั้นตอนการทำ SEO มีอะไรบ้าง ?

หลังจากที่มีเว็บไซต์และคอนเทนต์พร้อมแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะมาเริ่มต้นทำ SEO กันครับ โดยส่วนต่อมาจะเป็นขั้นตอนการทำ SEO ที่จะอาศัยเทคนิคการปรับปรุงเว็บไซต์เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีหรือที่เราเรียกว่า On-Page Optimization ซึ่งถือเป็นการทำ SEO ในขั้นเบื้องต้นที่คุณควรต้องศึกษาก่อนไปมองหาบริษัทรับทำ SEO  โดยการทำ SEO แบบ On-Page Optimization มีขั้นตอนคร่าว ๆ ดังนี้ครับ

  • กำหนด Keyword ของเว็บไซต์ให้ชัดเจน

Keyword คือ สิ่งที่จะกำหนดว่าเว็บไซต์ธุรกิจของคุณมีความเกี่ยวข้องกับอะไร อันดับแรกคุณควรกำหนด Keyword ที่ต้องการให้เว็บไซต์ของเราปรากฏขึ้นบน Google เมื่อผู้ใช้งานมีการค้นหาเกิดขึ้น เช่นคำว่า รับทำการตลาดออนไลน์ ซึ่งในการกำหนด Keyword นั้นเราควรต้องทำการสำรวจความนิยมของ Keyword ก่อนเสมอ (หรือที่เรียกว่า Keyword Research) ว่าคำ ๆ นั้นมีการอัตราค้นหาเยอะมากน้อยเพียงใด เพราะต้องอย่าลืมว่าถ้าใช้ Keyword ที่ไม่ค่อยมีผู้ใช้ค้นหา มันก็เป็นเรื่องยากที่จะทำให้เว็บไซต์คุณสร้างยอดขายได้ โดยในเรื่องของ Keyword ผมจะอธิบายแบบเต็ม ๆ ในหัวข้อต่อไปครับ

  • ให้ความสำคัญกับ Title Tags และ Meta Description

Title Tags และ Meta Description คือส่วนคำบรรยายที่บอกชื่อเรื่องและคำอธิบายของเว็บไซต์นั้น ๆ ซึ่งจะแสดงผลปรากฏอยู่บนหน้าการค้นหาใน Search Engine อย่าง Google ถือเป็นขั้นตอนสำคัญอย่างมากในการทำ SEO เพราะหลังจากที่คุณกำหนด Keyword จองเว็บไซต์คุณได้แล้ว ให้นำ Keyword คำนั้นมาใส่ไว้ใน Title Tags และ Description เสมอ เพราะ Google จะทำการค้นหาเว็บไซต์ของเราเจอได้ง่ายขึ้น 

นอกจากนั้นคุณต้องเขียน Title Tags และ Description ให้ดึงดูดผู้ค้นหาให้เขากดเข้าไปยังเว็บไซต์คุณ เพราะถึงแม้ว่าเว็บไซต์ของคุณติดหน้าแรกในคำค้นหานั้น ๆ แล้วแต่ถ้าไม่มีผู้ใช้งานกดเข้าไปในเว็บไซต์ก็เป็นไปไม่ได้ที่ธุรกิจจะสร้าง Conversion ผ่านช่องทางเว็บไซต์ได้

ตัวอย่างเวบ
  • เริ่มสร้างคอนเทนต์ที่มีประโยชน์ต่อลูกค้า

เมื่อคุณกำหนด Keyword และปรับแต่ง Title Tags และ Meta Description ขั้นตอนต่อมาก็ควรเริ่มสร้างคอนเทนต์ที่สร้างคุณค่าให้กับตัวสินค้าหรือธุรกิจคุณ เพราะการที่เว็บไซต์ของคุณมีคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ นั้นจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับตัวลูกค้าและ Google ด้วย เพราะ Algorithm ของ Google นั้นชอบเว็บไซต์ที่มีบทความเยอะ ๆ ไม่ใช่เว็บไซต์หน้าเดียวจบ 

และแน่นอนครับว่าเมื่อเว็บไซต์ของคุณมีคอนเทนต์มากแค่ไหน ก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสที่จะถูก Google ค้นหาเจอมากขึ้น เพราะมี Keyword ที่หลากหลายซึ่งก็จะตามมาด้วยจำนวน Organic Traffic ที่เพิ่มขึ้นและอาจเปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นลูกค้าได้ในที่สุด

โปรแกรมช่วยลดขนาดภาพ ในการทำ seo
โปรแกรมช่วยลดขนาดภาพ ในการทำ seo
  • ย่อไฟล์รูปภาพ วิดีโอ เพื่อเพิ่มความเร็วของเว็บไซต์

ในการที่ Google จะเลือกจัดอันดับเว็บไซต์นั้นนอกจากเรื่องของ Keyword ต่าง ๆ ที่ผมได้กล่าวไปแล้วนั้น อีกปัจจัยสำคัญที่เป็นเกณฑ์ในการจัดอันดับของ Google ก็คือเรื่องความเร็วในการโหลดของเว็บไซต์ ยิ่งเว็บไซต์ไหนที่โหลดได้เร็ว Google ก็จะเลือกมาอยู่อันดับต้น ๆ ของหน้าการค้นหาในแต่ละ Keyword

ซึ่งการที่จะทำให้เว็บไซต์โหลดได้เร็วขึ้นสำหรับการทำ On Page SEO นั้นมีอยู่วิธีเดียวเลยก็คือการย่อขนาดของไฟล์รูป ไฟล์วิดีโอให้เล็กลง เพื่อที่จะได้ไม่ต้องใช้อินเทอร์เน็ตเยอะในการดาวน์โหลด แนะนำว่าไฟล์ภาพต้องมีขนาดไม่เกิน 100 KB จะดีที่สุด โดยคุณสามารถใช้เครื่องมือในการย่อขนาดไฟล์รูป, วิดีโอได้เลยเช่น Imagecompressor, TinyPNG เป็นต้น 

  • แทรก Internal Links เพิ่มความน่าเชื่อถือในสายตา Google

อีกหนึ่งขั้นตอนการทำ SEO ที่คุณจะละเลยไปไม่ได้ โดยเฉพาะเว็บไซต์ด้านบทความ ก็คือการใส่ Internal Links หรือลิงก์ที่เชื่อมไปยังหน้าอื่น ๆ ของเว็บไซต์ ลงไปในแต่ละบทความของคุณ เพื่อเป็นการทำให้ผู้ใช้งานมีเวลาอยู่บนเว็บไซต์ของคุณได้นานที่สุด และถ้าเว็บไซต์ไหนที่มีการแรก Internal Links ลงไปทาง Google เองก็จะมองว่าเว็บไซต์นั้นเป็นเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือมากพอที่จะมอบอันดับดี ๆ ในหน้าการแสดงผลให้ได้นั่นเองครับ

  • หมั่นอัปเดตข้อมูลอยู่เสมอ

การทำ SEO ถือเป็นเทคนิคที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งแน่นอนว่าส่งผลต่ออันดับเว็บไซต์ของคุณด้วย ดังนั้นคุณต้องหมั่นอัปเดตคอนเทนต์ให้สดใหม่อยู่เสมอ ลองหา Keyword คำอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจคุณเพื่อทำให้เว็บไซต์ของคุณได้อันดับดีขึ้นจากคำค้นหาอื่นบ้าง เพราะถ้าคุณปล่อยให้เว็บไซต์ทิ้งร้างเป็นเวลานาน ๆ Google ก็จะลดอันดับของคุณไปเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้นต้องหมั่น Active ในการทำ SEO อยู่ตลอดครับ (หากคุณเจอบริษัทที่บอกว่าแค่ติดหน้าแรกแล้วทุกอย่างก็จบ ให้โบกมือลาได้เลย!)

5. เข้าใจเกี่ยวกับ Keywords

Keyword คือ คำหรือประโยคที่ผู้คนใช้ค้นหาสิ่งที่ตัวเองต้องการทราบบน Search Engine (Google) ซึ่งเวลามีคนค้นหาอะไรบางอย่างบน Google แล้วในคำค้นหาหรือประโยคนั้นมี Keyword ที่ตรงกับเว็บไซต์ของคุณเอง เว็บไซต์ของคุณก็จะแสดงผลขึ้นบนหน้าการค้นหา (ในกรณีที่เว็บไซต์ของคุณมีการทำ SEO ที่มีประสิทธิภาพ) โดย Keyword นั้นมีความสำคัญในการทำ SEO เป็นอย่างมาก เพราะเป็นปัจจัยอันดับแรกในการจัดอันดับที่ Google จะใช้พิจารณา

การใช้โปรแกรม research keyword
การใช้โปรแกรม research keyword

ตัวอย่าง Research Keyword เพื่อหาปริมาณในการค้นหาบน Google เพื่อไม่ให้โฟกัสเป้าหมายผิด

ในการเลือกบริษัทรับทำ SEO นั้นคุณควรต้องมีความเข้าใจในด้านของ Keyword ด้วย เพื่อจะได้รู้ทันกระบวนการในการทำ SEO ของแต่ละบริษัท โดยในการทำ SEO นั้น Keyword จะถูกแบ่งออกเป็น 3 ประเภทดังนี้ 

1. Seed Keyword

Seed Keyword  คือ คำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับสินค้า บริการ หรือบทความบนเว็บไซต์ของเรา แบบกว้าง ๆ ทั่วไป ไม่ได้เฉพาะเจาะจงอะไรเป็นพิเศษ เช่น “รถยนต์” “แก้วน้ำ” แม้จะดูกว้าง บ่งบอกอะไรชัดเจนไม่ได้ แต่ก็เป็น Keyword ที่มีอัตราการแข่งขันสูง ซึ่ง Seed Keyword ถือเป็นคำค้นหาขั้นแรกที่จะต่อยอดไปสู่ Keyword อีก 2 ประเภทที่เหลือ เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ที่ต้องการเป็น Top Of Mind ในคำค้นหานั้น ๆ 

2. Niche Keyword 

Niche Keyword คือ คำค้นหาที่มีคำมาขยายต่อท้าย Seed Keyword แต่ก็ยังสามารถมองเป็นกลุ่มคำที่จะเริ่มเจาะจงได้มากขึ้น เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการ Traffic และ Conversion จากการทำการตลาดออนไลน์ (เพราะเจาะจงกว่า Seed Keyword ลูกค้าพอจะรู้ว่าขายอะไร) เช่น “รถยนต์ มือสอง”, “แก้วน้ำ เยติ”

3. Niche Long-tailed Keyword 

Niche Long-tailed Keyword คือ คำค้นหาที่เฉพาะเจาะจงมากที่สุด เป็นคำค้นหาที่จะเริ่มอธิบายรายละเอียดของสินค้าที่คุณมี เช่น ที่ตั้ง รุ่น รายละเอียดการจัดส่ง เพื่อจำกัดการค้นหาให้แคบที่สุด ทำให้ลูกค้าเจอสิ่งที่ตรงกับความต้องการของพวกเขาได้มากที่สุด  เช่น คำว่า “รถยนต์ มือสอง ดาวคะนอง ฟรีดาวน์” , “แก้วน้ำ เยติ ราคาถูก ส่งฟรี” เป็นต้น

แต่ต้องบอกก่อนว่า Niche Long-tailed Keyword ถือว่าเป็นประเภทคำค้นหาที่มีปริมาณการค้นหาน้อย ที่สุด เพราะพฤติกรรมผู้ใช้งานส่วนใหญ่จะไม่ค่อยชอบพิมพ์อะไรยาว ๆ ถ้าพวกเขาไม่อยากรู้จริง ๆ แต่ถ้าคุณทำเว็บไซต์ให้มาติดที่คำยาว ๆ แบบนี้ได้ โอกาสที่คุณจะสามารถขายสินค้าได้ก็มีสูงมาก จนเรียกได้ว่าเป็นประเภทของ Keyword ที่สร้าง Conversion ให้กับธุรกิจคุณได้ดีทีเดียว

ประโยชน์ของ longtail keyword
ประโยชน์ของ longtail keyword

ภาพตัวอย่าง  คีย์เวิร์ดยิ่งยาว ยิ่งได้รับ Conversion Rate สูง เนื่องจากบอกความต้องการของผู้ค้นหาได้ดี

บทความที่เกี่ยวข้องกับการหาคีย์เวิร์ด

เทคนิคในการเลือก Keyword ที่ดีมีอะไรบ้าง ?

ในการเลือก Keyword ที่คุณจะนำมาใช้ในการทำ SEO นั้นเราจะอาศัยเทคนิคที่เรียกว่า Keyword Research หรือกระบวนการในการค้นหา Keyword ที่ได้รับความนิยมของเหล่าผู้ใช้งานที่มักจะค้นหากันบน Search Engine เพื่อดูว่าในคำที่เราต้องการพาเว็บไซต์ไปติดอันดับนั้น แต่ละคำมีปริมาณการค้นหามาก-น้อยเท่าไร และมีความเป็นไปได้แค่ไหนที่เว็บไซต์เราจะไปติดอันดับของคำค้นหานั้น ๆ 

โดยการทำ Keyword Research นั้นคุณสามารถอาศัยเครื่องมือฟรี ในการสำรวจคำค้นหายอดนิยมได้เช่น 

  • Google Keyword Planner
  • Ubersuggest
  • SEMRush
การใช้โปรแกรม ubersuggest

เครื่องมือค้นหาคีย์เวิร์ด Ubersuggest ของเว็บไซต์ neilpatel.com

ซึ่งวิธีการใช้งานก็จะคล้าย ๆ กันไม่ว่าคุณจะเลือกใช้เครื่องมือไหน ก็คือให้คุณพิมพ์คำค้นหาแบบ Seed Keyword ลงไป แล้วระบบของ Keyword Research Tools จะ Generate คำค้นหาคำอื่น ๆ ที่ได้รับความนิยมโดยที่คำค้นหาตั้งต้นของคุณยังอยู่ จะทำให้คุณได้ไอเดียในการเลือก Keyword คำใหม่ ๆ ในกรณีที่ Keyword คำที่คุณต้องการมีการแข่งขันสูง (ที่คิดว่าไม่สามารถแย่งอันดับได้แน่ ๆ) เป็นเหมือนการหันไปใช้ Keyword ที่มีการแข่งขันน้อยลงหน่อย เพื่อยึดอันดับต้น ๆ ในคำค้นหานั้น ๆ 

หรือในกรณีที่คุณเลือก Niche Keyword หรือ Niche Long-tailed Keyword มาลองสำรวจดูก็ได้ เพื่อที่คุณจะได้พอทราบว่าคำค้นหาที่คุณคิดมา มีอัตราการค้นหามากน้อยเพียงใด เพราะบางทีคุณอาจจะเลือก Niche Long-tailed Keyword มาละเอียดเกิน เป็นคำที่ไม่มีใครค้นหากันเลย ก็จะทำให้การทำ SEO ของคุณไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร

โดยการทำ Keyword Research นั้นจะมี Metric หรือค่าแสดงผลต่าง ๆ ที่คุณควรต้องรู้เบื้องต้นดังนี้

  • Search Volume คือ อัตราจำนวนครั้งที่คีย์เวิร์ดคำนั้น ๆ ถูกค้นหาเฉลี่ยต่อเดือน เป็นค่าที่สำคัญที่สุดของการทำ SEO เพราะมันชี้วัดว่าใน Keyword คำนั้น ๆ มีอัตราการค้นหาจากผู้ใช้งานมากน้อยแค่ไหน (ยิ่งเยอะ=แข่งขันสูง)
  • Cost-Per-Click (CPC) คือ ราคาที่ต้องจ่ายต่อหนึ่งคลิก ถ้าคุณต้องการใช้ Google Ads มาช่วยโฆษณา Keyword 
  • Keyword Difficulty (KD) คือ ความยากง่ายในการแข่งขันของ Keyword แต่ละคำ ยิ่งมีค่าสูงมาก ก็ยิ่งแข่งขันยาก และใช้เวลาเยอะ


ผมคงบอกไม่ได้ว่า Keyword ที่ดีและเหมาะกับธุรกิจของคุณคืออะไร เพราะแต่ละธุรกิจก็มีความต้องการ มีลูกค้าเป้าหมายที่ไม่เหมือนกัน แต่ผมอยากแนะนำว่าให้คุณเลือก Keyword ที่ไม่ใช่คำที่มี Search Volume สูงในกรณีที่คุณเป็นเว็บไซต์ใหม่ ลองเปลี่ยนไปพึ่งพา Niche Keyword หรือ Niche Long-tailed Keyword ดูก่อนในช่วงแรก ใช้เวลาในการสร้าง Traffic ไปเรื่อย ๆ เพื่อรอให้เว็บไซต์ของคุณมีความแข็งแกร่งขึ้นก่อน แล้วจึงค่อยเล็งไปที่ Seed Keyword แข่งขันกับเว็บไซต์ใหญ่ ๆ แม้อาจต้องใช้เวลา แต่ถึงตอนนั้นถ้าเว็บไซต์ของคุณดีจริง ผมว่ายังไงก็แข่งขันได้ครับ!

6. Content Marketing สำหรับ SEO

Content Marketing คือการทำการตลาดผ่านคอนเทนต์เป็นเครื่องมือในการส่งสารไปยังกลุ่มลูกค้าเพื่อจุดประสงค์บางอย่างที่สร้างผลประโยชน์ให้กับธุรกิจได้ เช่น โปรโมทสินค้า, ให้แบรนด์เป็นที่รู้จักหรือเพื่อขายสินค้า/บริการต่าง ๆ ซึ่งถ้าพูดถึงการทำ SEO นั้นการทำ Content Marketing ก็จะต้องเปลี่ยนมามีความ Unique ไม่เหมือนการลงคอนเทนต์ด้วยช่องทางอื่น กล่าวคือทุกอย่างที่เกิดขึ้นจะต้องมีผลต่อการทำ SEO เสมอ ดังนั้น กระบวนการหรือเทคนิคในการทำ Content SEO ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากการเขียนคอนเทนต์ธรรมดาเช่น

ความสำคัญของ content marketing สำหรับ seo

ภาพตัวอย่าง Organic Traffic ที่เติบโตขึ้นอย่างสม่ำเสมอจากการเขียนคอนเทนต์ลงบนเว็บไซต์

  • เขียนคอนเทนต์โดยไม่มี Keyword ไม่ได้

ในการทำคอนเทนต์เพื่อการทำ SEO นั้นคุณจะต้องมี Keyword อยู่ในบทความเสมอ เช่น ช่วงพารากราฟแรกของคอนเทนต์, 100 คำแรก, ตาม Heading ต่าง ๆ หรือกระจายอยู่ทั่วทั้งบทความในปริมาณที่พอดี อ่านแล้วยังจับใจความได้อยู่ เรียกว่าถ้าทำ SEO แล้วจะเขียนไปเรื่อย ๆ ไม่ได้ครับ ต้องมี Keyword อยู่ด้วย

  • ทำรูปภาพและสื่ออื่น ๆ เข้าไปเพื่อเพิ่มคุณภาพของคอนเทนต์ ไม่ให้มีแต่ตัวหนังสือ

การทำ SEO ไม่ได้หมายถึงแต่การเขียนบทความยาว ๆ มีแต่ตัวหนังสือเสมอไปแต่ควรจะมีรูปภาพหรือวิดีโอแทรกไปเสมอ เพื่อเพิ่มคุณภาพของเทนต์ ให้ผู้อ่านทำความเข้าใจกับเนื้อหาที่คุณต้องการจะสื่อได้มากขึ้นและยังเป็นการช่วงทำ SEO จากการติด ALT Tags หรือการติด Keyword ของรูปภาพนั้น ๆ ได้อีกด้วย (รองรับการค้นหารูปภาพบน Google)

  • สร้างความแตกต่างด้วย Original Content 

Original Content คือ การสร้างคอนเทนต์ที่มีเนื้อหาไม่เหมือนกับเว็บไซต์อื่น วิธีจะช่วยสร้างความแตกต่างบนหน้าการแสดงผลการค้นหาให้คุณได้ โดยต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างคอนเทนต์ที่แตกต่างในการดึงดูดให้ผู้ใช้งานเลือกคลิกเข้ามายังเว็บไซต์คุณ (เพิ่ม Organic Traffic) และเมื่อ Traffic เยอะขึ้น Google ก็จะจัดว่าเว็บไซต์ของคุณเป็นเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ และดันอันดับให้เพิ่มขึ้นได้

ตัวอย่างเช่น : ถ้าคุณกำลังจะสร้างบทความ วิธีทำราดหน้า ซึ่งใน Keyword นี้มีหลายเว็บไซต์จองพื้นที่กันอยู่ การสร้าง Original Content ของคุณก็อาจจะใส่ความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างคอนเทนต์ลงไปเช่น วิธีทำราดหน้า ด้วยงบ 20 บาท ฉบับเด็กหอ เป็นต้น

นี่เป็นส่วนหนึ่งของเทคนิคกลยุทธ์ Content Marketing สำหรับ SEO ในกรณีถ้าคุณจะเลือกบริษัทรับทำ SEO ที่มีแพคเกจของการทำคอนเทนต์ด้วยนั้น แนะนำว่าควรเลือกบริษัทรับทำ SEO ที่ใช้เทคนิคเบื้องต้นเหล่านี้หรือบริษัทที่ให้ความสำคัญกับการทำคอนเทนต์ไม่น้อยกว่าปัจจัยอื่น ๆ จะเป็นผลดีต่อธุรกิจคุณครับ

7. Report SEO

อย่างที่ผมได้กล่าวไปในข้อ 2 แล้วว่าการเลือกบริษัทรับทำ SEO ที่ดีนั้นปัจจัยสำคัญที่คุณควรพิจารณานั่นก็คือเรื่องของการทำ Report หรือรายงานสรุปผลการให้บริการประจำเดือนหรือสัปดาห์ เพราะจะทำให้คุณได้รู้ว่า การทำ SEO ของบริษัทเหล่านั้นธุรกิจคุณได้ผลลัพธ์อะไรกลับมาบ้าง

seo report

ตัวอย่าง Report SEO โดยการใช้ Google Data Studio ดึงข้อมูลมาแสดง

ซึ่ง Report ของ SEO ที่ดีจะต้องมีการใช้ Sessions, Conversions, หรือปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ มาใช้วัดเป็น KPI ร่วมด้วย ไม่ใช่แค่ส่ง Report ของคีย์เวิร์ดแต่เพียงอย่างเดียว โดยให้คุณมองหาบริษัทรับทำ SEO ที่มีการใช้ Tool ในการวัดผลคีย์เวิร์ด (ตัวอย่างเครื่องมือ : https://proranktracker.com/) ที่สำคัญผู้จ้างทำ SEO ควรติดตามผลลัพธ์จากการทำ SEO ได้อย่างใกล้ชิดอาจจะเป็นช่วง 2 สัปดาห์ 1 หนึ่งครั้ง หรือเดือนละ 1 ครั้ง 

โดยการดู Report อาจจะใช้เป็นคุณอาจจะขอให้บริษัทเหล่านั้นสร้าง DashBoard ด้วย Google Data Studio และให้ Access กับคุณมาเพื่อใช้ในการติดตามผลงานแบบ Real Time ก็ได้เช่นกันครับ (แนะนำวิธีนี้)

8. ทำไมการทำ SEO สายเทคนิค สายดำ ถึงไม่ได้ผล

SEO สายดำ (Black Hat) คือเทคนิคการทำ SEO ที่จะใช้วิธีโกงระบบAlgorithm ของ Google โดยการหาช่องโหว่ของ Algorithm ในการไต่อันดับ แล้วสร้างเว็บไซต์หลุมขึ้นมาเยอะ ๆ เพื่อติด Backlinks ทำอันดับบน Google ให้ติดเร็วที่สุด โดยบริษัทรับทำ SEO ที่ไม่หวังดีหลายเจ้าเลือกใช้วิธีข้อดีของการทำ SEO สายดำที่เน้นเรื่องความเร็วในการทำอันดับ ในการหลอกลวงลูกค้าหลายรายที่ไม่มีความรู้ด้าน SEO ให้ตกไปเป็นเหยื่อ 

แต่ในความจริงแล้ววิธีการทำ SEO แบบสายดำนี้เป็นอะไรที่ทั้งไม่ได้ประสิทธิภาพและยังอันตรายต่อธุรกิจของคุณอีก เพราะปัจจุบัน Google ได้ทำการอัปเกรดระบบ Algorithm ของ Google ที่ทำหน้าที่เหมือนเป็นตำรวจออนไลน์ในการตรวจสอบความผิดปกติของแต่ละเว็บไซต์ให้ “ฉลาดขึ้น” กว่าแต่ก่อนมาก ทันทีที่ระบบ พบความผิดปกติของเว็บไซต์ที่ทำ SEO สายดำ ทาง Google จะไม่รอช้าที่จะปรับลดอันดับของคุณทันที

หรือถ้าเลวร้ายไปกว่านั้น เว็บไซต์ที่เป็น Backlink ให้เว็บไซต์ธุรกิจคุณ (หรือพวกเว็บไซต์หลุมทั้งหลาย) ดันเป็นเว็บการพนัน เว็บลามก คุณก็มีสิทธิ์ไม่น้อยที่ Algorithm ของ Google จะแบนเว็บไซต์ของคุณทันที ดังนั้นการทำ SEO สายดำ สารพัดเทคนิคโกงเหล่านั้น มันใช้ไม่ได้ผลกับการทำ SEO ยุคปัจจุบันอีกแล้ว ให้คุณมองหาบริษัทรับทำ SEO สายขาว ที่เน้นไปในเรื่องของการปรับแต่งเว็บไซต์และการทำ Keyword จะดีที่สุด

9. การทำ SEO ใช้ระยะเวลาเท่าไหร่

การจะทำ SEO ให้เห็นผลนั้นโดยทั่วไปจะต้องใช้เวลาราว 3-6 เดือนเป็นอย่างต่ำ (ไปจนถึงขั้น 1 ปีก็มี) ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น จำนวนเว็บไซต์คู่แข่ง , Keyword มีการแข่งขันสูงไหม , ระบบหลังบ้านเชิงเทคนิคของเว็บไซต์ , ความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์, การทำคอนเทนต์ และปัจจัยอื่น ๆ 

ถ้าเว็บไซต์ของคุณเลือกใช้ Keyword ที่มีการแข่งขันสูงก็ต้องใช้เวลาบวกเพิ่มเข้าไป หรือถ้ามีเว็บไซต์ใหญ่ ๆ จองพื้นที่อยู่แล้วโอกาสในการติดอันดับแรกของคุณก็อาจเป็นเรื่องยากหน่อย แต่ไม่ใช่ว่าไม่มีสิทธิ์ทำได้เลยนะครับ เพียงแต่คุณต้องอาศัยการทำ SEO ที่เข้มข้นและจริงจังพอสมควร หรือลองเลือกใช้งานบริษัทรับทำ SEO ที่เคยผ่านงานในลักษณะใกล้เคียงกันมาแล้วก็จะมีโอกาสแข่งขันได้ครับ 

10. เมื่อหยุดทำ SEO ผลลัพธ์จะหายไปไหม

การทำ SEO ที่มีประสิทธิภาพนั้น คุณควรจะต้องหมั่นอัปเดตคอนเทนต์และปรับแต่งเว็บไซต์เพื่อการทำ SEO อยู่เสมอ เพราะ Algorithm ของ Google นั้นมีการอัปเดตอยู่ตลอด ซึ่งส่งผลต่ออันดับเว็บไซต์บนหน้าการค้นหาเสมอ ถ้าเว็บไซต์ไม่ได้มีการอัปเดตอะไรให้ตรงตามสเป็คของ Algorithm แต่ละครั้ง ก็มีโอกาสที่ Google จะลดอันดับเว็บไซต์ของคุณลงไป บางเว็บไซต์เดือนนี้เป็นอันดับ 1 เดือนต่อมาอาจหล่นไปอันดับ 4-5 ก็เป็นได้ 

“การเป็นแชมป์ว่ายากแล้ว แต่การรักษาแชมป์นั้นยากกว่า” ดังนั้นถ้าเว็บไซต์คุณติดอันดับ 1 หรืออันดับแรก ๆ ในหน้าการค้นหาแล้ว โปรดอย่าหยุดทำ SEO เด็ดขาดครับ เพื่อรักษาอันดับให้ยืนระยะในหน้าแรกให้ได้นานที่สุด ดังนั้นถ้าคุณไม่อยากให้สิ่งที่คุณตั้งใจสร้างมาต้องหายไป ก็ต้องหมั่นทำ SEO อยู่ตลอดครับ